โดยมีจุดเด่นสำคัญๆดังนี้
1.ซื้อสินค้าได้มากกว่า 1 รายการ
ผู้ซื้อสามารถ ซื้อสินค้าในตลาด ได้มากกว่า 1 รายการในการซื้อสินค้าต่อครั้ง เช่น ข้าวผัด มะนาว เนื้อวัว ข้าวสาร นำ้ดื่ม สบู่ ฯลฯ
ตารางที่ 1 แสดงค่าบริการของจำนวนรายการสินค้า
2. ซื้อสินค้าได้มากกว่า 1 ร้านค้า
ผู้ซื้อสามารถ ซื้อสินค้าในตลาด ได้มากกว่า 1 ร้านค้าในการซื้อสินค้าต่อครั้ง เช่น ร้านข้าวแกง ร้านขายผัก ร้านขายเนื้อสัตว์ ร้านขายของชำ ฯลฯ
3.สินค้าราคาถูกว่า
เนื่องจากเป็นการซื้อขายกันอย่างเสรี ไม่ผูกขาด จึงเกิดการแข่งขัน ในทุกๆด้าน เช่น ราคา คุณภาพ และด้านบริการ
4. ค่าขนส่งถูกกว่า
เพราะสามารถซื้อสินค้าได้หลายรายการ ทำให้ค่าขนส่งต่อรายการถูกลงอย่างมาก และระยะทางที่ใกล้ โดยมีระยะจากตลาดไม่เกิน 8 กิโลเมตร ผู้ซื้อสามารถเลือกตลาดใกล้บ้านผู้ซื้อได้และอาจได้รับโปรโมชั่นค่าส่งจากร้านค้าต่างๆที่ช่วยกันจ่ายค่าขนส่งหากซื้อสินค้าตามที่ร้านค้ากำหนด
ตารางที่ 2 แสดงอัตราค่าขนส่งบริการตามระยะทาง
5. สินค้ามีให้เลือกได้หลากหลายประเภท
5.1 อาหารสด
5.1.1 ผัก เช่น คะน้า มะเขือ ต้นหอม ผักชี ฯลฯ
5.1.2 เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา กุ้ง ฯลฯ
5.1.3 อาหารทะเล เช่น ปลากะพง ปูม้า กุ้งแชบ๊วย ฯลฯ
5.1.4 อาหารแช่แข็ง เช่น เนื้อปู เนื้อปลา เนื้อกุ้ง ฯลฯ
5.2 สินค้าทั่วไป
5.2.1 สินค้าอุปโภคที่มีขายในร้านขายของชำ ร้านสะดวกซื้อ เช่น สบู่ ยาสีฟัน ยาสระผม ขนม นำ้ดื่ม สุรา เบียร์ ข้าวสาร นำ้มันพืช กะปิ กาแฟ นำ้ตาลทราย ฯลฯ
5.2.2 ร้านยา เช่น ยาธาตุ ยาแก้ปวด อุปกรณ์รักษาบาดแผล อาหารเสริม ฯลฯ
5.2.3. อาหารสัตว์ เช่น อาหารสุนัข อาหารแมว อาหารนก อาหารปลา ฯลฯ
5.2.4 อุปกรณ์โทรศัพท์ เช่น โทรศัพท์มือถือ สายชาร์ต เคส ฯลฯ
5.2.5 อุปกรณ์ช่าง เช่น สายไฟ ท่อปะปา คีม ปลั๊กไฟ ตะปู ฯลฯ
5.2.6 อาหารแห้ง เช่น ข้าวสาร ถ่าน นำ้พริก ถุง ฯลฯ
5.2.7 แต่งกาย เช่น เสื้อ กางเกง ผ้าถุง ถุงเท้า ฯลฯ
5.2.8 อื่นๆ
5.3 อาหารพร้อมทาน
5.3.1 ข้าวแกง เช่น แกงเขียวหวาน ปลาทอด พะโล้ ผัดเผ็ดปลาดุก ฯลฯ
5.3.2 ก๋วยเตี๋ยว เช่น ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวหมู เย็นตาโฟ ฯลฯ
5.3.3 ข้าว เช่น ข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวขาหมู ข้าวหมกไก่ ฯลฯ
5.3.4 ขนมหวาน เช่น ขนมเปียกปูน ทองหยอด ฯลฯ
6. รับคืนสินค้าที่ที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลง 100 % จบในวันเดียว
หากพบสินค้าไม่ตรงปก ผู้ซื้อสามารถคืนสินค้าได้ทันที เรามีทีมงานโดยเฉพาะในการบริการรับคืนสินค้า และผู้ที่จะขายสินค้าแต่ละรายต้องทำข้อตกลงในการขายสินค้าที่มีคุณภาพ และตรงปกเท่านั้น
1.หากไม่พอใจสินค้าสามารถคืนได้ 100 %
2.มีเจ้าหน้าที่รับคืนสินค้า และคืนเงินในจบในวันเดียวไม่เกิน 3 ชั่วโมง
3.มีเจ้าหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนเพื่อแก้ปัญหาให้ลูกค้าโดยเฉพาะ
7.ไม่มีการกำหนดขั่นต่ำ
1.ซื้อสินค้าได้ทุกอย่างไม่ต้องมีขั่นต่ำ
8.ขนส่งสินค้าได้รวดเร็ว
1.สินค้าอยู่ในตลาดหรือศูนย์การค้าใกล้บ้าน
2.Rider ชำนาญพื้นที่(ส่งประจำแต่ละพื้นที่)
3.ได้รับสินค้าภายใน1ชั่วโมง
4.Rider อยู่ประจำแต่ละตลาด
9.ประเภทของการส่งสินค้าให้เลือกใช้ 2 ประเภท
1. การส่งสินค้าแบบเร่งด่วน(รถจักรยานยนต์)
สามารถส่งสินค้าได้น้ำหนักสูงสุด 15 กิโลกรัม
ใช้รถจักรยานยนต์ในการขนส่งระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร
เหมาะสำหรับลูกค้าทั่วไป
2.การส่งสินค้าแบบตามเวลา(รถกระบะ)
สามารถส่งสินค้าได้น้ำหนักสูงสุด 50 กิโลกรัม
ใช้รถกระบะในการขนส่งระยะทางไม่เกิน10 กิโลเมต
เหมาะสำหรับลูกค้าที่เป็นร้านอาหาร องค์กรต่างๆ ฯลฯ
ตารางที่ 3 แสดงค่าบริการของนำ้หนักสินค้า
10.การโอนเงินให้ผู้ขายหลังจากหักค่าGP รวดเร็ว
ผู้ขายจะได้รับเงินหลังจากหักค่า GPและ VAT ในวันถัดไปทันทีเวลาไม่เกิน 13:00
11.เข้าถึงลูกค้าทุกระดับอย่างแท้จริง
ราคาสินค้าในตลาดหรือศูนย์การค้ามีราคาถูกเป็นปกติอยู่แล้ว เช่น ตลาดสด ตลาดนัด ฯลฯ
ค่าขนส่งต่อสินค้า 1อย่าง ถูกมาก เพราะถูกเฉลี่ยค่าขนส่ง
เป็นสินค้าปกติที่คนทั่วไปใช้เป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่เพิ่มความสะดวกสบายในการซื้อสินค้ามากขึ้น
จุดอ่อนของ TARAD-SOD
1.ยังไม่มีฐานลูกค้าที่มั่นคง
>ลูกค้ายังไม่รู้จักแบรนด์ หรือยังไม่เชื่อมั่นในการสั่งของสดผ่านออนไลน์
2.การบริหารจัดการร้านค้าในตลาดสดยาก
>พ่อค้าแม่ค้ายังไม่ชินกับระบบดิจิทัล และการอัปเดตสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์
3.ต้นทุนในการเริ่มต้นสูง
>เช่น ค่าเทคโนโลยี ค่าจัดส่ง ค่าจ้างไรเดอร์ และค่าโฆษณาในช่วงแรก
4.ความเสี่ยงเรื่องคุณภาพสินค้า
>สินค้าสดมีอายุสั้น มีโอกาสเกิดปัญหาเรื่องการเคลม และความพึงพอใจของลูกค้า
5.การแข่งขันจากแพลตฟอร์มใหญ่อย่าง Grab, Line Man
>แม้จะยังไม่ลงลึกในตลาดสด แต่มีเงินทุนและฐานผู้ใช้จำนวนมาก
1.ขาดฐานลูกค้าที่มั่นคง
>จัดโปรโมชันแรง เช่น ส่งฟรีครั้งแรก, ส่วนลดครั้งถัดไป
>ทำการตลาดเชิงพื้นที่ (Local Marketing) เฉพาะในแต่ละเขต
2.แม่ค้าไม่ชินกับระบบ
> จัดอบรมใช้งานระบบแอปเบื้องต้น
> มีทีมซัพพอร์ตช่วยลงข้อมูลและดูแลหลังบ้าน
3.ต้นทุนเริ่มต้นสูง
> เริ่มจากพื้นที่นำร่อง เพียง 1-3 ตลาดก่อนและเริ่มใน กรุงเทพฯก่อน
> สร้างพันธมิตรกับบริษัทไรเดอร์ หรือนำระบบ Pre-order มาลดต้นทุน
4.ความเสี่ยงเรื่องคุณภาพ
> มีระบบตรวจสอบคุณภาพ (QC)
> มีนโยบายเคลมสินค้าใน 2 ชั่วโมง สร้างความมั่นใจ
5.การแข่งขันกับรายใหญ่
> เน้นจุดเด่น "ซื้อได้ทุกอย่างจากหลายร้านในการสั่งครั้งเดียว"
> โฟกัสตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) ที่รายใหญ่ยังไม่ลงลึก